28 เมษายน 2553

7 ขั้นตอนการสลายการชุมนุมแบบ สากล

สากลจริงๆ มีหลักมีขั้นตอน การสลายการชุมนุมที่เจ้าหน้าที่จะใช้มี 7 ระดับ

1.จัด รูปขบวนตั้งแนวแสดงกำลังที่อาจทำให้ผู้ชุมนุมเปลี่ยนแนวความคิด

2.ใช้ โล่ดัน หากผู้ชุมนุมจะบุกรุกเข้ามา

3.ใช้น้ำฉีด

4.ใช้ เครื่องกระจายเสียงระดับสูง (ทำให้หูดับ)

5.แก๊สน้ำตา

6.ใช้ กระบอง และ

7.หากจำเป็นจริงๆ อาจต้องใช้กระสุนยาง

!! ผมจะได้เห็นการปฏิบัติแบบสากลในประเทศนี้ไหม !!

ปล. M16  และ ปืนลูกซองอยุ่ขั้นตอนไหนไม่ทราบ

26 เมษายน 2553

อย่าให้กฏหมู่มาเหนือกฏหมาย

"อย่าให้กฏหมู่มาเหนือกฏหมาย" คำนี้ถูกใช้ซ้ำๆไม่ว่าจะผ่าน ปากคน , internet ทาง twitter หรือ FaceBook

เป้นคำพูดที่ถูกต้องเสมอครับ  แต่ .....

กฏหมู่  ยึดทำเนียบ และสนามบิน ยังอยู่ดีมีสุข
กฏหมู่  ทำรัฐประหาร ยึดอำนาจรัฐแล้วเขียน กฏหมายสูงสุดของประเทศ ยังอยู่ดีมีสุข
แล้ว กฏหมู่ ยึดราชประสงค์ จะฟังกฏหมายหรือ

ก่อนจะใช้คำนี้ คิดก่อนดีๆว่า ผลที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ เกิดจากเหตูดังกล่าวข้างต้นทั้งสิ้น

ถ้าจะรณรงค์ ควรจะรณรงค์ให้

ใช้กฏหมายอย่างเคร่งครัดเด็ดขาด จับแกนนำไม่ว่าเหลืองหรือแดงและผู้ทำผิดกฏหมายทั้งหมดเข้าสู่ กระบวนการยุติธรรมอย่างเท่าเทียมกัน

แล้วกฏหมายจะศักดิ์สิทธิ์เองครับ

ปล. ท่านใดที่คิดว่าไปทำสิ่งที่มันไม่ถูกเลียนแบบกันทำไม ให้กลับไปอ่านว้ำอีกครั้งนะครับ มันจะผิดก็ไม่เห็นเป็นไร เมื่อมัน "ได้ผล"

25 เมษายน 2553

นายกรัฐมนตรี โต้แย้ง หัวหน้าฝ่ายค้าน

มาดูกันครับว่านายกรัฐมนตี กับ ผู้นำฝ่ายค้าน เขาโต้แย้งกันอย่างไร

22 เมษายน 2553

การโฆษณาชวนเชื่อ

หลักการโฆษณาชวนเชื่อ อาจสรุปลงง่ายๆ 7 ข้อ ได้แก่

1. Ad Hominem : โจมตีตัวบุคคล สร้าง ศัตรูบุคคลขึ้นมาเป็นหุ่นรับการโจมตีหลัก แล้วจับผิด โจมตี ด่าทอ ต่อว่า ทั้งเรื่องส่วนตัวและคำพูดทุกคำพูดของคนๆนั้น รวมถึงการสร้างภาพให้ฝ่ายศัตรูที่ตั้งขึ้นมาโจมตีเป็นปีศาจร้าย เปรียบเทียบกับความชั่วร้ายในโลกทั้งมวล ทั้งในพระคัมภีร์ศาสนาและประวัติศาสตร์
พธม ใช้ สนธิ โจมตี ทักษิณ อยู่ตลอดเวลา พูดจนทักษิณ เป็น ปีศาจ ในสายตาของคนที่ฟังและเชื่อ

2. Ad nauseum : พูดซ้ำแล้วซ้ำอีก มีสำนวนไทยว่าไว้เข้าทีว่า "น้ำหยดลงหินทุกวัน หินยังกร่อน" แล้วใจคนอ่อนๆจะทนได้อย่างไร
พธม  แกนนำจะพูดทุกวัน พูดเรื่องเดิมๆ ทักษิณโกงแบบนั้นโกงแบบนี้ แดงโง่การศึกษาน้อย ถูกจ้างมา จะพูดแบบนี้ทุกวัน

3. Big Lie : โกหกคำโต โยเซฟ เกิบเบิลส์(1897-1945) รัฐมนตรีกระทรวงโฆษณาการ(minister of propaganda) มือขวาของฮิตเลอร์ กล่าวว่า

"The bigger the lie, the more it will be believed."
"ยิ่งโกหกคำโตเท่าไร, มันยิ่งน่าเชื่อไปเท่านั้น" และ

"The great masses of people will more easily fall victims to a big lie than to a small one."
"ฝูงชน มหาศาลถูกหลอกด้วยการโกหกเรื่องใหญ่ ง่ายกว่าโกหกเรื่องเล็กๆ"

การ โกหกเรื่องเล็กๆที่มีรายละเอียดปลีกย่อย อาจมีผู้จับโกหกได้ง่าย แต่การโกหกเรื่องใหญ่ๆเพื่อหลอกให้เชื่อ มันย่อมครอบคลุมเรื่องต่างๆหลากหลาย อย่างน้อยต้องมีข้อใดข้อหนึ่งที่ถูกจริตผู้ฟัง และเมื่อคนพูดพูดในสิ่งที่คนฟังอยากจะเชื่ออยู่แล้ว เขาก็พร้อมจะยอมเชื่อโดยดี แม้ว่าคำโกหกเรื่องใหญ่นั้น จะเท็จครึ่ง จริงครึ่ง หรือไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความจริงอยู่เลย

พธม เรื่องนี้เหลืองเลือกที่จะโกหกคำโตโดยการ ใส่ร้ายว่า ทักษิณ+แดงจะล้มเจ้า เพราะคำพูดนี้จะใช้ได้ดีกับคนไทยเพราะว่าคนไทยทั้งประเทศจะมีความจงรักภักดี ต่อสถาบัน จะทำให้คนไทยที่ฟังแต่ ASTV จะไม่ความเชื่อมากๆ

4. Name calling : สร้างสมญานาม การสร้างชื่อแทนใช้เรียกย่อๆ ง่ายๆ และตีความได้เข้าข้างตัวเอง หรือสร้างภาพเสียหายให้ศัตรู
พธม จะสร้างสมญานามให้กับกลุ่มตัวเองทำให้รู้ดีและยิ่งใหญ่ด้วยคำว่า “กู้ชาติ”

5. Black and White fallacy : ตรรกะผิด-ถูก แบบขาว-ดำ ผู้โฆษณาชวนเชื่อ ต้องสร้างภาพการแบ่งแยกฝ่ายถูกผิดชัดเจนเป็นสีขาว-ดำ ใครเข้าข้างจะเป็นฝ่ายถูก ฝ่ายธรรมะ ส่วนใครไม่เห็นด้วยก็จะถูกผลักไปเป็นฝ่ายผิด เป็นฝ่ายอธรรมทันที ในโลกสีเทาหม่นๆของความเป็นจริง เราแสวงหาความดี ความถูกต้อง ตามหลักคำสอนทางจริยธรรมและศีลธรรมอยู่เสมอ เมื่อผู้โฆษณาชวนเชื่อตั้งธงให้เข้าร่วมกับความถูกต้องชัดเจนย่อมไม่แปลกที่ จะหลงเชื่อในสิ่งที่เขากล่าวอย่างง่ายดาย และอาจไม่ฉุกคิดเลยว่า สิ่งที่เขาพูดไม่ตรงกับการกระทำอย่างใดเลย
พธม จะบอกเสมอว่าพวกตนคือพวกก่อการดี กู้ชาติ ปกป้องสถาบัน และจะใส่ร้าย ฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามว่า เป็นคนเลว จะทำลายชาติ จะล้มล้างสถาบัน ต่างๆนาๆ เพื่อทำให้พวกตนดูเป็นคนดีเพื่อสร้างความชอบธรรมต่างๆนาๆ

6. Flag Waving, Beautiful thing, and Great People reference : ชูธงสูงส่ง อ้างสิ่งสวยงาม ตามหลักมหาบุรุษ การโฆษณาชวนเชื่อนั้นจะอ้างตนเองและกลุ่ม แนวคิดของตน ให้ดูยิ่งใหญ่ สูงส่ง อลังการ มีคุณธรรม จริยธรรม ศีลธรรม ด้วยคำพูดและป้ายประกาศ ใช้ข้อความที่ดูดี อ้างอิงสิ่งเหนือธรรมชาติ หรือนามธรรมที่คนยอมรับว่าดีพธม ข้อนี้ชูธงหลักว่า พวกตน รักและปกป้องสถาบัน ผูกขาดแต่เพียงผู้เดียว ถ้าใครไม่เห็นด้วยจะเป็นคนไม่รักสถาบันทันที

7. Disinformation by mass media : ควบคุมกำจัดข้อมูลผ่านสื่อสารมวลชน การ บอกข้อมูลไม่ครบ บอกความจริงไม่หมด เลือกแต่เฉพาะข้อมูลหรือข่าวที่ส่งผลดีต่อฝ่ายตนเอง ใช้การอ้างนอกบริบท หรือนำคำพูดที่ไม่เกี่ยวข้องกันมาแต่งเติมเสริมเข้าไปให้ดูดี.... ยิ่ง ใช้สื่อมวลชนที่เข้าถึงคนหมู่มาก ยิ่งบอกผ่านกันไปปากต่อปาก และยิ่งดูน่าเชื่อถือ พธม ใช้สื่อทั้ง ASTV และอีกหลายๆสื่อที่รู้กันดีอยู่

การโฆษณาชวนเชื่อ แตกต่างและน่ากลัวกว่าการโฆษณาและชักจูงตามปกติ
เพราะมันจะทำให้ตรรกะของ คุณบิดเบี้ยวโดยคุณไม่รู้ตัว 
คุณจะเห็นคนอื่นผิดหมด ขณะที่ตัวเองถูกต้องเพียงคนเดียว 
คุณจะไม่เหลียวแม้แต่หางตามองสิ่งที่ อยู่นอกเหนือความเชื่อของคุณ 
คุณจะกล้าใช้ถ้อยคำหยาบคาย ด่าทอ เสียดสี คนที่ไม่เห็นด้วยกับคุณ ทั้งๆที่คุณไม่เคยมีนิสัยหยาบคายมาก่อน
คุณจะ พร้อมบริจาค ทุ่มเททั้งกำลังกายและทรัพย์สินให้กับสิ่งที่คุณเชื่อ โดยไม่เหลือให้ตัวเองและครอบครัว
และเมื่อคุณรู้ตัว สังคมของคุณจะเหลือเพียงแต่กลุ่มคนที่เชื่อโฆษณาชวนเชื่อแบบเดียวกับคุณ เท่านั้น 

 โดยคุณ Experts 

18 เมษายน 2553

Number doesn't Matter


ตัวเลขใครคิดว่าไม่สำคัญ
           
          จากข่าว กลุ่มคน Facebook สนับสนุน นายก เป็นจำนวนกว่าแสนคน แล้วสื่อเอามาเสนอว่า เป็นจำนวนทีมากมายเลยทีเดียว และเปรียบเทียบว่ามากกว่าผู้ชุมนุมเสื้อแดงที่อยู่ที่ราชประสงค์เสียอีก เลยเกิดความสงสัยครับ ว่าจำนวนตัวเลขนั้นมีนัยยะสำคัญขนาดไหน

สถิติ ณ. วันที่ 18/04/2010
ตัวเลขของผู้ที่เป็น fan ของ account Abhisit Vejajiva คือ 204,947 คน เยอะมากครับ
อ้างอิง http://www.facebook.com/#!/Abhisit.M.Vejjajiva?ref=ts


แต่เทียบกับ จำนวน ของสมาชิก Facebook ที่อ้างว่าอยู่ในประเทศไทย
Number of users on Facebook in Thailand: 3,056,620 คน เยอะไหมครับ
อ้างอิง http://www.facebakers.com/countries-with-facebook/TH/

และถ้าเทียบกับ
จำนวนผู้ใช้ Internet ในประเทศไทย จำนวน 16,110,000 คน เยอะไหมครับ
อ้างอิง http://internet.nectec.or.th/webstats/home.iir?Sec=home

เมื่อเทียบกับประชากรทั้งหมดของประเทศไทยจำนวน 63,525,062 คน
อ้างอิง  http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%88%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A3

ซึ่งมีจำนวนคนที่อาศัยอยู่ใน กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ถึง 10,237,179 คน

เมื่อเอามาเปรียบเทียบกันดูแล้ว



จะเห็นได้ว่า
เมื่อเทียบกับ จำนวนผู้ใช้ Facebook ที่เป็นคนไทยทั้งหมด เป็นเพียง 6.7 %
เมื่อเทียบกับ จำนวนผู้ใช้ internet ไทยทั้งหมด เป็นเพียง 1.27 %
เมื่อเทียบกับ จำนวนประชากรไทยทั้งหมด เป็นเพียง 0.32 %
เมื่อเทียบกับ จำนวนประชากรในเขตกรุงเทพและปริมณฑล เป็นเพียง 2 %

!! เยอะไหมครับ !! แล้วคนที่เหลือเขาสนับสนุนหรือไม่หรือคิดอย่างไร ไม่เอามาคิดหรือครับถ้าเราเปรียบเทียบ สิ่งใดแล้วควรจะเปรียบเทียบให้ครบและรอบด้านครับ แล้วจะรู้ว่าจำนวนนั้นสำคัญจริงหรือ

ปล. ส่วนตัวแล้วไม่เชื่อในการกล่าวอ้างจำนวนโดยฝ่ายใดทั้งสิ้น จำนวนที่ตัดสินกันได้ดีที่สุดคือจำนวนเสียงที่ประกาศตอนเลือกตั้งครับ

17 เมษายน 2553

คลายเครียดกับ "พจนานุกรมฉบับ คึกฤทธิ์"

ไปเจอมาและยังเห็นว่าทันยุคทันเหตุการณ์อยู่เสมอ
“พจนานุกรม ฉบับ คึกฤทธิ์” ลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์สยามรัฐ เป็นตอน ๆ ไม่ติดต่อกัน เริ่มพยัญชนะตัวแรก คือ “ก” ในฉบับวันที่ 17 มกราคม พ.ศ.2520 และจบลงที่พยัญชนะ “ร” ในฉบับวันที่ 9 สิงหาคมพ.ศ.2520 สำนักพิมพ์สยามรัฐได้นำมาจัดพิมพ์ครั้งแรก เพื่อแจกเป็นหนังสือที่ระลึก ในวาระครบรอบ1 ปี การอสัญกรรมของ ศ. พลตรี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2539 (ข้อมูลจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น) 

อักษรย่อหลังคำศัพท์ ก.= คำกริยา น.= คำนาม ว.= คำวิเศษณ์

กฏอัยการศึก น. กฏซึ่งใช้บังคับนานจนคนลืม หรือกฏซึ่งคุ้มครองการกระทำของทหารไม่ให้ผิดกฏหมาย
กฏหมาย น. กฏที่มีไว้ให้คนเลี่ยง
กฏหมู่ น. กฏที่คนกลัวกันนัก จึงมีคนชอบใช้มากกว่ากฏหมาย
กรรมการ น. คณะบุคคลซึ่งตั้งขึ้นพิจารณาเรื่องต่างๆ ที่หาทางแก้ไขไม่ได้เพราะหมดปัญญาเมื่อแถลงข่าวว่าได้ตั้งกรรมการขึ้น พิจารณาแล้ว ก็มักกลายเป็นคลื่นกระทบฝั่งไปเพียงแค่นั้น
กรรมาธิการ น. มีเบี้ยประชุมแพงกว่ากรรมการและเป็นได้นานกว่า
กระจก น. แก้วแผ่นสำหรับส่องหน้า ซึ่งหนังสือพิมพ์อ้างว่าตนเป็นเพื่อให้รัฐบาลมองเห็นหน้าของตัวเองตาม ความเป็นจริง แต่พอรัฐบาลส่องเข้าจริง กลับเห็นหน้าคนทำหนังสือพิมพ์ แทนที่จะเป็นคนในรัฐบาล
กระทรวง น. หน่วยราชการใหญ่ที่สุด มีหัวหน้าเป็นรัฐมนตรีว่าการ จึงแย่งกันพังไปหลายรัฐบาลแล้ว
กระแส ข่าว น. ข่าวที่หนังสือพิมพ์เขียนเอาเอง
กฤษฎีกา น. กฎหมายฝ่ายบริหาร ซึ่งไม่มีพิษสงอะไรนัก ยกเว้นพระราชกฤษฎีกาให้ยุบสภาผู้แทนเท่านั้น
กอบโกย ก. การกระทำของคนที่นึกว่าตนเองจะไม่มีวันตาย ถ้าทำแล้วจะเลิกไม่ได้
กอล์ฟ น. การประจบผู้ใหญ่
กะล่อนว. เอาไว้ด่านายกรัฐมนตรี ที่พยายามจะให้คนทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากัน
กังฉิน น. คนที่มักจะเจริญในราชการ
การเมือง น. กิจกรรมที่ทำให้คนแตกกันได้ และทำให้เสียคนก็ได้, การแก่งแย่งผลประโยชน์ ที่โกหกกันว่าเป็นการขัดกันในหลักการหรือแนวคิด
โกหก ก. กล่าวเท็จสำหรับผู้ชาย ตอแหลสำหรับผู้หญิง และแถลงการณ์สำหรับรัฐบาล 

ขมุกขมัว ว. บรรยากาศของเมืองไทยทุกวันนี้
ของกลาง น. ของที่ถูกขโมยแล้ว เจ้าทรัพย์เอาคืนได้ยากที่สุด
ของกำนัล น. ของซึ่งถ้าให้กันให้แนบเนียนหน่อยก็ไม่เป็นคอร์รัปชั่น
ครหา น. ความผิดที่ไม่มีใครกล้าพูดออกมาตรงๆ
คุณ น. คำนำหน้านามของคนทุกคน คุณธรรม ของหายากในโลกมนุษย์ทุกวันนี้ คุณภาพ ความหวังอันเลื่อนลอย
คุณวุฒิ น. ของที่มีเอาไว้อ้าง
เคารพ ก. การแสดงต่อหน้าว่านับถือ แต่ลับหลังก็ด่าให้
โฆษณา น. การเผยแพร่ความเท็จ
งบดุล น. บัญชีที่ตกแต่งให้สวยได้
เงินเดือน น. รายได้ที่ไม่พอกิน
โง่ ว. คนฉลาดเท่านั้นจึงจะยอมรับ
จน ว. สภาพที่คนไทยกำลังวิ่งเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว
จรรยาบรรณ น. กฎเกณฑ์ แห่งความประพฤติ ซึ่งยังไม่เห็นมีใครรวบรวมได้เสร็จสักที
จำ ก. การกระทำที่คนไทยทำไม่เป็น เพราะไม่เห็นรู้จักจำกันเสียที
จำใจ ก. การกระทำที่คนไทยต้องกระทำอยู่เสมอ เพราะถูกบังคับให้ทำอะไรก็จำใจทำ
จำหน่าย ก. เลิกเอาเรื่องกันเสียที เช่น จำหน่าย สูญ จำหน่ายบัญชี
จีบ ก. โกหกผู้หญิงให้รัก
เจตนารมณ์ น. ความมุ่งหมายของรัฐบาลหรือกฎหมายที่เราคิดเอาเองเพื่อประโยชน์ของตนเอง
ถ้า เป็นผลประโยชน์ของคนอื่น ไม่ถือเป็นเจตนารมณ์
เจริญ ก. การกระทำที่ทุกคนอยากจะทำให้แก่บ้านเมือง แต่ไปเสียเวลาทำตัวเองให้เจริญเสียก่อน
โจ๋งครึ่ม ว. ไม่กลัวใคร ใครจะทำไม?
ฉงน ก. สงสัยในสิ่งที่ไม่น่าจะสงสัยหรือไม่กล้าจะสงสัย
ชนะ ก. สร้างศัตรู
ชรา น. ความจริงในชีวิตที่ไม่มีใครยอมรับ
ด่วน ว. คำที่ใช้ในตรายางประทับหน้าซองหนังสือราชการถ้า ด่วน เฉยๆ ก็โยนทิ้งเอาไว้ได้เป็นแรมปีไม่ต้องเปิดถ้า ด่วนมาก ก็เก็บเอาไว้ได้หกเดือน ถ้า ด่วนที่สุด ก็ทำลืมมันเสียเลย เพราะเปิดออกมาก็มี แต่เรื่องที่ไม่เป็นมงคล
ดอก น. อวัยวะเพศของต้นไม้
ดอง ก. วิธีทำราชการแบบหนึ่ง ซึ่งเก็บเรื่องเอาไว้ได้นานๆ
ด่า ก. คนทำหนังสือพิมพ์บอกว่าติเพื่อก่อ แม่ค้าอภิปรายปัญหากัน
ดิรัจฉาน น. สัตว์อื่นๆ ที่มิใช่มนุษย์จึงปราศจากความชั่วร้ายของมนุษย์
ตบ ก. เรียกทรัพย์
ต้ม ก. ทำคนโง่ให้สุก กินได้ ต้มยำ ต้มให้มีรสยิ่งกว่าต้มเฉยๆ
ตรวจ ก. ไปสอบดูไกลๆ
ตรวจราชการ ก. แต่งเครื่องแบบไปเที่ยวไกลๆ ถ้าใหญ่จริงก็มีทหารหรือข้าราชการตั้งแถวต้อนรับ

เตี๊ยม ก. การสร้างมติในสภาปฏิรูป
แต่งตั้ง ก. มีคนทำเสียอย่างจะเป็นอะไรก็เป็นได้
ถ้อยทีถ้อยอาศัย ว. ต่างฝ่ายต่างอาศัยกันเหมือนเปลือกหอยกับเนื้อหอย
ทน. ก. อาการของคนไทยทุกวันนี้
ทรราช น. คนที่มีคนกราบไหว้ทั้งตลาด
ทฤษฏี น. เดี๋ยวนี้ใครไม่มีก็ไม่ใช่คน
ท้อง น. อวัยวะอย่างหนึ่งของประชาชน ซึ่งไม่มีใครเหลียวแลแต่ชอบอ้างถึงอยู่ไม่เว้นแต่ละวัน : เด็กในท้อง ซึ่งเมื่อมีแล้วเรียกว่ามีท้อง ไม่ยักเรียกว่ามีเด็ก
ทำเนียบ น. ที่รวมปัญหาความวุ่นวายทุกชนิด
ทุน น. สิ่งที่ใครมีแล้วกลายเป็นคนเลว ถ้าหาได้เท่าไหร่ใช้ให้หมด แล้วเป็นหนี้เขาอีกจะเป็นคนดี
ทุ่ม ก. โยนเข้าไปมากๆ เพื่อประโยชน์ ของคนบางกลุ่ม เช่นทุ่มเงินพัฒนาประเทศ
ธนบัตร น. กระดาษที่ซื้ออะไรได้ทุกอย่าง อย่าว่าแต่ความรักเลย ตำแหน่งผู้กำกับ เขายังว่าว่าซื้อกันได้
นม น. จับเล่นก็เพลิน ดูดก็มัน กินอร่อย ยานก็แล้วไป
นโยบาย น. ของศักดิ์สิทธิ์ เหนือเหตุผลและระเบียบแบบแผนมีเอาไว้ขู่ข้าราชการประจำ ถ้าเถียง
เมื่อไร ก็อ้างว่าเป็นนโยบายแล้วเป็นเงียบทุกที
ความนิยม น. สิ่งที่นักการเมืองไทยทุกคนยอมเสียงชีวิตเสี่ยงทรัพย์ และเสี่ยงทุกอย่างเพื่อแสวงหา
บริสุทธิ์ ก. ไม่เล่นกับลูกชาวบ้าน
บริสุทธิ์ ใจ ก. อยู่นอกวงการเมืองไทย
บริวาร น. คนกลุ่มหนึ่งที่เข้าแวดล้อมผู้มีอำนาจ พอหมดอำนาจก็ไปแวดล้อมผู้มีอำนาจคนใหม่
บริหาร ก. ใช้อำนาจปกครองจนกว่าจะมีผู้มาแย่งหรือยึดอำนาจไป
บังคับ ก. เดี๋ยวนี้เรียกว่าขอความร่วมมือ
บารมี น. ความนิยมของคน, สร้างบารมี ก. ทำราชการเพื่อหาเสียง
บุหรี่ น. คนที่สูบ จะตายด้วยโรคมะเร็งในปอด คนไม่สูบก็จะตายด้วยโรคมะเร็งในปอดเช่นเดียวกัน
ประจบ ก. อยากได้ดีก็ต้องทำ
ประจาน ก. ประกาศความชั่วซึ่งไม่มีใครเขาถือกันแล้ว
ประเทศ น. สิ่งที่ทุกคนหวงแหน แต่ก็ทำให้เสื่อมโทรมลงทุกวัน
ประเพณี น. การกระทำที่ทำโดยไม่รู้ความหมาย
ประมูล ก. การเขียนตัวเลขใส่ซองที่มีทางทำให้คนเปิดซองรวยได้มาก
ประโยชน์ น. ถ้าเป็นของตนก็ต้องเร่งหาและรักษาไว้ให้ได้
ประโยชน์ส่วนรวม น. ก็ประโยชน์ส่วนตนนั่นแล แต่ใหญ่กว่าปกติและใช้อำนาจหน้าที่แสวงหาได้
ปรัชญา น. การเดินทางจากที่ที่ซึ่งไม่มีอะไรเลย ไปยังจุดหมายที่ไม่มีวันหาพบ

ปืน น. อาวุธซึ่งถ้ามีทะเบียนถูกต้องก็ใช้ไม่ได้ เพราะผิดกฎหมาย แต่ถ้าจำเป็นต้องใช้จริงๆ ก็ใช้ปืนเถื่อน
ปลุก ก. ทำให้ตื่น 
ปลุกระดม ก. เมื่อตื่นแล้วก็ให้ไปตีกับเขา
ป่า น. ที่ที่หายากในเมืองไทย 
ป่าสงวน น. ป่าที่ไม่มีเจ้าของ ใครจะทำลายก็ได้ 
ป่าช้า น. ที่ที่ทุกคนต้องไป
เปลือย ว. ไม่นุ่งผ้า ถ้าไปทำที่แถวๆ พัฒน์พงศ์ก็ได้สตางค์ไปเลี้ยงผัวได้สักคนสองคน
แปร ก. ทำให้เปลี่ยน 
แปรญัตติ ก. ขอแก้ร่างกฎหมายที่เละอยู่แล้ว ให้เละยิ่งขึ้น
ผู้ใหญ่ น. สภาพที่คนแก่ไม่จำเป็นต้องเป็นเสมอไป บางคนเกิดมากับเขาชาติหนึ่ง เป็นได้แค่เพียงคนแก่ เป็นผู้ใหญ่ไม่ได้
แผล น. ก็มีกันทั้งนั้นเหละน่า
ฝัน ก. ทำกันมานานแล้ว เมื่อไรจะตื่นกันเสียทีเล่าครับ
ฯพณฯ น. ใช้คำนำหน้านามคนใหญ่คนโตให้ตรงกับภาษาฝรั่งว่า His Excellency ไม่รู้ว่า excellentกันมาจากไหน
พรหมจารี น. หญิงที่หายากทุกวันนี้
พ่อค้า น. คนที่ชอบเล่นการเมืองแต่ปฏิเสธเสียงแข็งว่าไม่ได้เล่น
ฟัก น. แปลว่าอะไรก็ช่าง แต่อย่าไปออกเสียงให้ฝรั่งได้ยินก็แล้วกัน
ฟ้า น. เป้าแห่งการถ่มน้ำลายของคนอยากดัง
ภรรยา น. คำเรียกเมียอย่างสุภาพ ฟังแล้วเหมือนไม่มี Sex เข้ามาเกี่ยวข้อง
ภาพพจน์ น. อะไรไม่รู้ต้องแก้กันบ่อยๆ เหมือนแก้ผ้า
ภาษิต น. คำกล่าวแบบกำปั้นทุบดิน เช่น ตามหลังผู้ใหญ่หมาไม่กัด เพราะหมามันจะกัดผู้ใหญ่ก่อน
มรดก น. ทรัพย์ที่ไม่มีใครกล้าเก็บภาษี เพราะเกรงว่าจะโดนเข้ากับตัวเอง
ยืม ก. ก็ขอนั่นเหละ แต่พูดเสียให้คนมีกำลังใจหน่อย
รัก ก. นึกถึงคนอื่นมากที่สุด ทั้งที่ยังไม่รู้จักตัวเองดีพอ
รัฐ น. สภาพอย่างหนึ่งซึ่งถ้าใครเข้าครองแล้วก็มีอำนาจเหนือคนทั้งประเทศ
รัฐบาล น. สิ่งที่หาดีไม่ได้ในสายตาของคนไทย
รัฐมนตรี น. เดี๋ยวนี้ใครก็เป็นได้
โรงแรม น. ที่ซึ่งให้เขาพาไปเองแล้วกลับมาร้องว่าเขาข่มขืน 



อ้างอิงกระทู้ http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P9137970/P9137970.html เขียนโดย คุณ kenjeena 

อำมาตย์คือ อะไร? ตรงนี้มีคำตอบ

ถามอำมาตย์ คืออะไร? ใส่คำตอบ

ฉันขอมอบ ตอบให้ ใคร่เฉลย
จะได้หาย สงสัย ใครเล่าเอย?
ฉันขอเอ่ย เผยชำแหละ แงะออกมา

แยก เป็นคำ ย้ำพยางค์ กางความหมาย
คำว่า"อำ" ยำขยาย หงายภาษา
แปลว่าหยอก หลอกกันเล่น เช่นนั้นนา
อำกันมา พาให้ขำ อำระรัว

เช่นเขาอำ ทำให้คน ก้มหมอบกราบ
อำกันเล่น เป็นที่ทราบ บาปกินหัว
เพราะไม่ใช่ เป็นเจ้า เราตามัว
ถูกเขาอำ ทำตาถั่ว รั่วเลอะเลือน

หรือชื่อบ้าน ไร้กังวน คนเพ้อพร่ำ
เขาแค่อำ ทำเลียบเคียง เพียงอยากเหมือน
หยอกเรา เล่น เป็นการอำ ทำแชเชือน
อยากเป็นเดือน จึงเลื่อนล้ำ อำตัวเอง

เมื่อ เข้าใจ หงายคำ "อำ"กระจ่าง
ฉันขอกาง คำว่าหมาด ชัดแจ่มเจ๋ง
หมาดๆว่า มาตะกี้ นี้น่ะเอง
ชิ..หายเจ๊ง มาหมาดๆ ชาติกระจาย

เป็นต้นว่า เขายายเที่ยง เบี่ยงของชาติ
พึ่งโกงมา หมาดๆ ผิดคาดหมาย
อำมาตย์อม สมบัติชาติ ขาดความอาย
แล้วก็คาย ไปหมาดๆ ชาติได้คืน

เมื่อรวมกัน ประสานเส้น เป็นอำมาตย์
จึงผิดพลาด ชาติวิบาก ยากขัดขืน
เพราะเขา หลอก เขารวบ ควบกินกลืน
ประชาตื่น ขึ้นขืนขัด อำมาตย์เทอญ

อ้างอิง กระทู้ http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P9136614/P9136614.html
เขียนโดยตุณ เสกคาถา

16 เมษายน 2553

Social Network , Real Life and Politic issue

ช่วงเวลานี้ของสังคม ยังเป้นช่วงเวลาที่ หนัก หนักหนา ในความรู้สึก หนัก หนาในบรรยากาศ ของความแตกร้าวทางความคิดของ"คน" ในชนชาติเดียวกัน อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนนับแต่เราเรียกขาน นามประเทศ ว่า "สยาม" จนเปลี่ยนผ่านมาเป็น "ไทย" ความแตกแยกแตกร้าวนี้ ปรากฏเด่นชัด ทั้งทางกายภาพ (สีเสื้อ,สัญลักษณ์,ป้าย รวมถึง สติ๊กเกอร์ต่างๆ)และทาง ความคิดผ่านทางสังคมเสมือน หรือ โลกที่เรียกขานแต่เดิมว่า Cyberspace กระทั่งกลายมาเป็น Social Networkในปัจจุบัน

โดยปกติแล้วคนไทยนั้นมักจะเขินอายต่อการแสดงออก ไม่ว่าจะเป็นกรณีใดๆ ซึ่งเป็นจุดด้อย อันเด่นชัดเวลาร่วมงานกับชาวต่างประเทศ หรือ ศึกษากับสังคมที่มีชาวต่างประเทศเป็นจำนวนมาก จึงมักถูกวิจารณ์เสมอว่าคนไทยไม่กล้าที่จะแสดงออก ซึ่งถึงปัจจุบันเอง ก็ยังเป็นแบบนั้นอยู่ แต่แล้ว เมื่อสังคมเสมือนเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ในชีวิตของคนส่วนหนึ่งของสังคม ที่น่าจะประกอบด้วย นักเรียนนักศึกษา จนถึงวัยทำงาน ที่มีโอกาศในการเข้าถึง Internet จากการวิวัฒนาการของโลก ฉyberspace ที่เริ่มจากการติดต่อสื่อสารแบบทางเดียว ที่ผู้สร้าง Web Page ทำหน้าที่เสนอเนื้อหาสาระ แก่ผู้เข้ามาเยี่ยมชม จนวิวัฒนาการเป็น ระบบกระดานข่าว (Web Board) ที่ผู้เข้ามาเยี่ยมชมสามารถมีปฏิสัมพันธ์กันผ่าน วิวาทะทางตัวอักษรในกระทู้ หรือ หัวข้อที่ตนเองสนใจ แต่ตัวตนในโลก Internet นั้น ยังแยกจากตัวตนที่แท้จริงของคนเราค่อนข้างเด่นชัด แต่ก็ยัง
มีบริการในโลก CyberSpace ที่อ้างอิงถึงตัวตนที่แท้จริงอยู่บ้างเช่นบริการพวก Instant Message ทั้งหลายที่ก่อกำเนิด มาตั้งแต่ICQ , AOL , MSN แต่บริการเหล่านี้ก็ยังจำกัดกลุ่มคนที่ใช้งานเป็นกลุ่มแคบๆ เฉพาะกลุ่มของตนเองเท่านั้น ทั้งนี้การระบุตัวตนในโลก Cyber ก็ยืนยันกันผ่านชื่อ หรือ login name เป็นอันสิ้นสุดเหมือนดั่งยุคหนึ่งที่มีการเล่นวิทยุสื่อสาร สมัครเล่นกันอย่างกว้างขวางแล้วแทนตัวตนด้วน call sign ซึ่งตัวตนในโลก Cyber นั้นจะเป็นอย่างไรก็อนุมานได้จากตัวอักษร หรือ ลีลาในการตอบกระทู้ ซึ่งอาจจะเป็นเหมือนตัวตนที่แท้จริงหรือ คนละเรื่องเลยก็เป็นได้

แต่แล้วเมื่อโลก Internet เข้าสู่ยุคของ Web 2.0 ที่มีนิยามสั้นๆว่า Social Network ก็ก่อกำเนิดรูปแบบในการติดต่อสื่อสารกันแบบเปิดมากขึ้น ผู้คนในโลก Cyberspace นำตัวตนจริงเข้ามาอยู่ในโลกแห่งนี้มากขึ้น เป็นการหลอมรวมตัวตนที่แท้จริงเข้ากับโลกเสมือนอย่างกลมกลืน เนื่องจากเทคโนโลยีที่ก้าวกระโดดจากเดิม จากสังคมเฉพาะกลุ่มเริ่มกลายเป็นสังคมที่กว้างขึ้น จากระบบเทคโนโลยีที่เอื้ออำนวย เช่น Facebook หรือ Twitter ซึ่งระบบเหล่านี้ทำให้เราเชื่อมโยงกับผู้คนในโลก Cyberspace อื่นๆได้อย่างง่ายดายและมีการกลั่นกรองน้อยมาก เพียงแค่ยื่นข้อเสนอเป็นเพื่อนของ Facebook หรือการ Follow กันใน Twitter และปัจจุบันเราได้ใช้เครื่องมือเหล่านี้ ในการติดต่อสื่อสารกับคนอื่นๆแบบจริงจัง คือมีการยืนยันตัวตนที่แท้ต่อกันไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมรุ่น , เพื่อนร่วมงาน จนลามไปสู่ เพื่อนของเพื่ือน เป็นทอดๆ และ อุปกรณ์ต่างๆได้พัฒนาตามขึ้นมาให้การติดต่อสื่อสารในรูปแบบนี้ ทำได้ง่ายดายขึ้นไม่ว่าจะเป็น Computer แบบ ปกติ,พกพา จนไปถึงโทรศัพท์มือถือ ทำให้ปัจจุบันเราติดต่อสื่อสารกันได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นช่องทางปกติ เช่นการพูดคุย , โทรศัพท์ หรือในรูปแบบเสมือน Chat ผ่าน MSN,GTalk หรือประกาศใน Twitter , Facebook ทำให้กำแพงของการปิดกั้นการแสดงออกเริ่มพังทลาย เพราะเรายังคิดอยู่ว่าสิ่งที่ทำไปในโลกเสมือนนั้น เป็นเกิดขึ้นโลกเสมือนมิใช่โลกจริง บางครั้งการที่เราจะบอกเพื่อนตรงๆว่า ไปเที่ยวด้วยกันคราวนั้นไม่สนุกเลย เรากลับ เขียนข้อความลง twitter หรอื Facebook "ว่าเฮ้อ ทริปนี้กร่อยๆว่ะ" เพื่อที่จะให้คนที่ไปเที่ยวกับเรามาพบ และมาถามไถ่กันทีหลังว่า "อ้าวไปเที่่ยวนึกว่าสนุกด้วยกันตกลงไม่สนุกตอนไหนเนี่ย ทำไมไม่บอก" ตัวอย่างเริ่มต้นเล็กๆน้อยๆนี้ เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการพังทลายกำแพง จนถึงวันนี้ เรื่องที่ต้องระมัดระวังในการแสดงออกเช่น การเมือง,ศาสนา จนถึงมีคำกล่าวที่ว่า เป้นเรื่องที่หาข้อสรุปไม่ได้ และ ก่อให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งได้มากที่สุดหากยกขึ้นมาพูดกัน เพราะพื้นฐานเรื่องเหล่านี้ เป็นเรื่องศรัทธาและความเชื่อ จึงยากที่จะแบ่งแยกความถูกผิดหรือดีเลว เพียงเพราะสิ่งที่ตนเองเชื่อนั้นขัดกับผู้อื่น

แต่ ณ. วันนี้ จากเหตุการณ์การเมืองอันร้อนระอุ ทั้งสถานะการณ์ที่ปรากฏในปัจจุบัน ก็ได้แพร่กระจายเข้ามาสู่สังคม Cyberspace ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบย้อนกลับไปยังชีวิตจริงของผู้คนเช่น Blog นี้เป็นต้น 10 เมษายน 2553 ที่ผู้เขียนได้ทำการตัดเพื่อนจริงๆ ด้วยกรรมวิธีทาง Cyberspace เพราะความคิดเห็นทางการเมืองที่ต่างกันอย่างสุดขั้ว ซึ่งในโลกจริงนั้น ผู้เขียนกับเพื่อืนก็ไม่ได้เสวนาเรื่องการเมืองกันให้ได้ข้อยุติ แต่ใน Social Network ผู้เขียนได้รับรู้แนวคิดทางการเมืองผ่านทางการสื่อสารใน Facebook และได้ตัดสินใจตัดขาดกับเพื่อนโดยกรรมวิธี block ของ Facebook ซึ่งในโลกจริงเพื่อนของผู้เขียน Blogข้างต้นอาจจะรับรู้ได้โดย การสังเกตว่าไม่ได้รับข่าวสารจากเพื่อนคนนี้เลยนานแล้ว พยายามค้นหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ ซึ่งอาจจะเนิ่นนานกว่าการที่คนเราจะเดินไปบอกกัน คุยกันแล้วทะเลาะเลิกคบกันก็เป็นได้

ปัจจุบันแนวโน้มลักษณะนี้ได้ขยายวงและเพิ่มมากขึ้นทำให้ เราอาจจะต้องกลับมาพิจารณาว่าเราเอาตัวตนที่แท้เข้าไปสู่โลกเสมือนมากเพียงใด และสุดท้ายเราจะแยกแยะตัวตนเราออกมาได้หรือไม่หรือท้ายที่สุดแล้วโลกจริงกับโลกเสมือนจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน